World Heritage
- oumllsd
- Mar 16, 2016
- 8 min read
ประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ซึ่งได้แก่ ไทย ลาว เมียนมาร์ กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และบรูไน ต่างก็มีความงดงามของธรรมชาติและศิลปวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไป บางแห่งก็ได้รับการยกย่องให้เป็น “ มรดกโลก ”
จากองค์การยูเนสโก ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจ อีกทั้งยังเป็นการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาเยือนมากขึ้นอีกด้วย มาดูกันว่าประเทศสมาชิกประชาคมอาเซียนมีสถานที่น่าสนใจแห่งใดบ้างที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก แต่ก่อนอื่นมาดูนิยามและความหมายของคำว่า “ มรดกโลก ” ซึ่งหมายถึง มรดกอันทรงคุณค่าที่มนุษย์ได้รับจากอดีตได้ใช้และภาคภูมิใจในปัจจุบัน และถือเป็นพันธกรณีในการทะนุบำรุงดูแลรักษา เพื่อมอบให้เป็นมรดกอันล้ำค่าแด่มวลมนุษยชาติในอนาคต โดยจะต้องมีความโดดเด่นเป็นเลิศในระดับสากล เมื่อได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่ง “ มรดกโลก ” แล้ว ไม่ว่าจะมีที่ตั้งอยู่ในขอบเขตดินแดนของประเทศใดก็จะถือว่าเป็นมรดกมนุษยชาติทั้งปวงในโลก
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ( มรดกโลกของประเทศไทย )
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ครอบคลุมพื้นที่โบราณสถานกรุงสุโขทัย ศูนย์กลางการปกครองของอาณาจักรสุโขทัยซึ่งมีอำนาจอยู่บริเวณภาคเหนือตอนล่างของประเทศไทยในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18-19 ตั้งอยู่ที่ตำบลเมืองเก่า (เขตเทศบาลตำบลเมืองเก่า) อำเภอเมืองสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย ห่างจากตัวเมืองสุโขทัยปัจจุบัน (เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี) ไปทางทิศตะวันตกประมาณ 12 กิโลเมตร ตามทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 (ถนนจรดวิถีถ่อง)
ผังเมืองสุโขทัยมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีความยาวประมาณ 2 กิโลเมตร กว้างประมาณ 1.6 กิโลเมตร มีประตูเมืองอยู่ตรงกลางกำแพงเมืองแต่ละด้าน ภายในยังเหลือร่องรอยพระราชวังและวัดอีก 26 แห่ง วัดที่ใหญ่ที่สุดคือวัดมหาธาตุ อุทยานแห่งนี้ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์โดยกรมศิลปากรด้วยความช่วยเหลือจากองค์การยูเนสโก มีผู้เยี่ยมชมหลายแสนคนต่อปี ซึ่งสามารถเดินเท้าหรือขี่จักรยานเที่ยวชมได้
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยได้รับการประกาศคุ้มครองครั้งแรกตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 92 ตอนที่ 112 ลงวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2504ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 โครงการฟื้นฟูอุทยานแห่งนี้ก็ได้รับการอนุมัติ และเปิดอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2531 โดยในวันที่ 12 ธันวาคมพ.ศ. 2534 องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้อุทยานแห่งนี้เป็นแหล่งมรดกโลกร่วมกับอุทยานประวัติศาสตร์ที่กำแพงเพชรและศรีสัชนาลัยภายใต้ชื่อว่า
" เมืองประวัติศาสตร์สุโขทัยและเมืองบริวาร " (Historic Town of Sukhothai and Associated Historic Towns)
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
บริเวณที่ตั้งของจังหวัดสุโขทัยเป็นบริเวณที่ราบตอนล่างของภาคเหนือ ได้ค้นพบหลักฐานการเข้ามาตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์แล้ว ตามหลักฐานทางโบราณคดีที่พบใน เขตอำเภอศรีนคร อำเภอบ้านด่านลานหอย และอำเภอคีรีมาศ ซึ่งแสดงถึงหลักฐานทางชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ชุมชนเหล่านี้คงอยู่ต่อเนื่องกันและตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นในเวลาต่อมา
จนกระทั่งประมาณพุทธศตวรรษที่ 12 (พ.ศ. 1100 เป็นต้นมา) ชุมชนบริเวณนี้ได้มีการ ติดต่อกับดินแดนอื่นแถบบริเวณภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีพื้นฐานวัฒนธรรมแบบทวารวดี โดยได้มีการค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีที่วัดชมชื่น อำเภอศรีสัชนาลัย
หลักฐานทางศิลปกรรมในเขตเมืองเก่าสุโขทัยที่ศาลตาผาแดง และปรางค์เขาปู่จาในเขตอำเภอคีรีมาศ เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นถึงการเข้ามาของวัฒนธรรมเขมรโบราณในราวพุทธศตวรรษที่ 18 (พ.ศ.1700 เป็นต้นมา) และน่าจะเป็นการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานเป็นเมืองในวัฒนธรรมเขมร ในบริเวณที่ราบเชิงเขาหลวงเป็นครั้งแรก จนราวกลางพุทธศตวรรษที่ 18 ปรากฏเรื่องราวการตั้งตนเป็นอิสระ เพื่อ ปกครองสุโขทัยของกลุ่มชน ซึ่งต่อมาเป็นบรรพชนของคนไทยในปัจจุบัน
อาณาจักรสุโขทัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีนาวนำถม และเริ่ม ชัดเจนมากขึ้นในสมัยพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พ่อขุนบางกลางหาว พ.ศ. 1781 - 1822) อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ในรัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช 1841) อำนาจของอาณาจักรสุโขทัยในช่วง รัชสมัยของพระองค์มั่นคงมาก ได้ทรงแผ่อาณาเขตออกไปโดยรอบ วัฒนธรรมไทยได้เจริญขึ้นทุกสาขา ดังปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 1 ซึ่งเจริญทั้งด้านประวัติ-ศาสตร์ การสงคราม ภูมิศาสตร์ กฎหมาย ประเพณี การปกครอง การเศรษฐกิจ การสังคม ปรัชญา พระพุทธศาสนา การประดิษฐ์อักษรไทย และ อื่น ๆ ราชวงศ์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ (พระร่วงหรือสุโขทัย) ได้ปกครองอาณาจักรสุโขทัยสืบต่อมาเป็นเวลา 200 ปี ก็ถูกรวมเข้ากับอาณาจักรอยุธยา
ในการประชุม ณ เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนีเซีย เมื่อ พ.ศ.2534 คณะกรรมการมรดกโลกแห่งอนุสัญญาคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมและธรรมชาติของโลก องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ได้ประกาศให้อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย กำแพงเพชร เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เนื่องจากหลักฐานที่ปรากฏแสดงให้เห็นถึงผลงานทาง สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น นับเป็นตัวแทนของศิลปกรรมไทยยุคแรก และเป็นต้นกำเนิดของการสร้างประเทศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิดอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัยอย่างเป็นทางการเมื่อ
วันจันทร์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2531
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ( มรดกโลกของประเทศไทย )
๑. ที่ตั้ง
อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยามีเนื้อที่ ๑,๘๑๐ ไร่ ตั้งอยู่ภายในเกาะเมืองอยุธยา อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา อยู่ห่างจากกรุงเทพมหานคร
ไปทางทิศเหนือประมาณ ๗๕ กิโลเมตร กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาไว้ มีพื้นที่ ๑,๘๑๐ ไร่
๒. ความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ก่อนที่สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) จะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. ๑๘๙๓ นั้น นักวิชาการเชื่อว่า บริเวณดังกล่าวได้มีบ้านเมืองตั้งอยู่ก่อนแล้ว เรียกว่า เมืองอโยธยา หรืออโยธยาศรีรามเทพนคร มีที่ตั้งอยู่บริเวณด้านทิศตะวันออกนอกเกาะเมืองอยุธยา ปรากฏหลักฐานโบราณสถานที่เป็นวัดสำคัญ เช่น วัดมเหยงค์ วัดอโยธยา รวมทั้งจากพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ กล่าวถึงการก่อสร้างพระพุทธรูปที่เรียกว่า พระเจ้าพแนงเชิง พระประธานของวัดพนัญเชิง โดยระบุว่า สร้างขึ้นก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง ๒๖ ปี ด้วยทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาที่มีลักษณะเป็นเกาะเมือง
มีแม่น้ำที่สำคัญ ๓ สายโอบล้อม คือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ทำให้พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์ และเป็นชุมทางคมนาคมทางน้ำ รวมทั้งยังเป็นปราการธรรมชาติ ในการป้องกันข้าศึกศัตรู กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นราชธานีใหญ่ที่สามารถกุมอำนาจเหนือเมืองใกล้เคียงได้เป็นเวลายาวนาน
กรุงศรีอยุธยาเติบโตเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ และการค้า ที่สำคัญแห่งหนึ่ง
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๓ มีชาวต่างชาติทั้งจากทวีปเอเชียและทวีปยุโรป เช่น จีน ญี่ปุ่น อินเดีย เปอร์เซีย อาหรับ โปรตุเกส สเปน ฮอลันดา อังกฤษ และฝรั่งเศส เข้ามาค้าขายทางเรือ ส่วนมากมีความสัมพันธ์ทางการทูตด้วย บางชาติก็ได้รับพระราชทานที่ดิน สำหรับตั้งถิ่นฐานบ้านเรือน สถานีการค้า และศาสนสถาน โดยหมู่บ้านของชาวต่างประเทศส่วนใหญ่จะอยู่นอกตัวเมืองมีเฉพาะชาวจีน ชาวฮินดู และชาวมุสลิมเพียงบางกลุ่มซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับราชสำนักเท่านั้น ที่ได้รับพระบรมราชานุญาต ให้สร้างบ้านเรือนอยู่ภายในเมือง
นอกจากนี้ กรุงศรีอยุธยายังมีความเจริญ ก้าวหน้าทางด้านการปกครอง กฎหมาย
การศาล ระบบสังคม การศาสนา ประเพณี วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรม ประณีตศิลป์ ภาษา วรรณกรรม และนาฏดุริยางคศิลป์ ศิลปวิทยาการต่างๆ ที่คนไทยในอาณาจักรอยุธยาได้สั่งสมไว้ ซึ่งได้สืบทอดและพัฒนาต่อมาในสมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์ จวบจนทุกวันนี้
๓. โบราณสถานสำคัญ
โบราณสถานเท่าที่สำรวจพบแล้ว ทั้งภายในเมือง และนอกกำแพงเมืองมี ๔๒๕ แห่ง ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโบราณสถานสำคัญ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ในเกาะเมือง และพื้นที่ด้านทิศเหนือ และทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเมือง มีโบราณสถานที่สำรวจพบแล้ว จำนวนทั้งสิ้น ๙๕ แห่ง ประกอบด้วย
๑) พระราชวังโบราณหรือพระราชวังหลวง
พระราชวังโบราณตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัดพระศรีสรรเพชญ์ ริมแม่น้ำลพบุรี ปัจจุบันเหลือแต่เพียงฐานรากพระที่นั่งองค์ต่างๆ เนื่องจากถูกเผาทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ ๒ พระราชวังโบราณนี้สร้างขึ้นใน สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อทรง อุทิศที่ตั้งของพระราชมณเทียรเดิมที่สร้างไว้ สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง) ให้เป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์
๒) วัดพระศรีสรรเพชญ์
เป็นวัดที่สำคัญที่สุดของกรุงศรีอยุธยา โดยแต่เดิมสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
(พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงสร้างพระราชมณเทียรขึ้นที่บริเวณนี้ ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถได้ทรงอุทิศบริเวณพระราชมณเทียรให้เป็นวัด ในเขตพระราชวัง สำหรับเป็นที่ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญ และเป็นที่เสด็จออกบำเพ็ญพระราชกุศล
๓) วัดราชบูรณะ
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) โปรดให้สถาปนาขึ้นใน พ.ศ. ๑๙๖๗ ตรงบริเวณที่ถวายพระเพลิงพระศพ เจ้าอ้ายพระยา และเจ้ายี่พระยา พระเชษฐาทั้ง ๒ พระองค์ ซึ่งสิ้นพระชนม์เนื่องจากการสู้รบแย่งชิงราชสมบัติ
๔) วิหารพระมงคลบพิตร
พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปสำริด องค์ใหญ่ที่สุดองค์หนึ่งในประเทศไทย
ซึ่งสันนิษฐานว่า สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้บูรณะวิหารพระมงคลบพิตรใหม่ทั้งหมดดังที่ปรากฏในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ในเขตอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยายังมีโบราณสถานที่สำคัญแห่งอื่นๆ อีก เช่น วัดพระราม วัดญาณเสน วัดธรรมิกราช วัดวรโพธิ์ วัดวรเชษฐาราม
กรมศิลปากรได้ดำเนินการอนุรักษ์โบราณสถานเมืองพระนครศรีอยุธยาภายใต้ชื่อ โครงการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ และต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๓๔ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยาได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
พร้อมกับอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย อุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย และอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
วัดเชียงทอง ในเมืองหลวงพระบาง ( มรดกโลกของประเทศลาว )
วัดเชียงทอง สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2102-2103 ในสมัยของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช นับเป็นตัวแทนของศิลปะสกุลช่างล้านช้างที่งดงามและสมบูรณ์ และนับเป็นวัดสำคัญวัดเดียว
ที่ไม่ถูกเผาทำลายในศึกฮ่อธงดำบุกปล้นเมืองหลวงพระบาง ใน พ.ศ. 2428 ซึ่งนับว่าเป็นความโชคดีของวัดเชียงทองเป็นอย่างยิ่ง เพราะไม่เช่นนั้นปัจจุบันเราอาจจะไม่ได้ชมความงดงามของวัดที่ได้ชื่อว่าเป็นสุดยอดแห่งสถาปัตยกรรมล้านช้างก็เป็นได้
ภาพด้านข้างของสิม ( โบสถ์หรือวิหาร ) อันสวยงาม นับเป็นสิ่งน่าสนใจอย่างแรก
ในวัดเชียงทอง ( ขึ้นทางบันไดฝั่งท่าผาเสือริมแม่น้ำโขง )
สิมวัดเชียงทอง นับเป็นสิมล้านช้างที่สมบูรณ์ที่สุด และมีความงามให้ชมกันทั่วทั้งหลัง
ซึ่งหากมองไล่ไปจากด้านบนสุดก็จะเห็นเครื่องยอดที่คนลาวเรียกว่า “ ช่อฟ้า ” ลวดลายปราณีตสีทองอร่ามตาโดดเด่นอยู่กลางสันหลัง ส่วน “ โหง่ ” หรือช่อฟ้าในบ้านเราทำเป็นรูปเศียรพญานาคชูคออ่อนช้อย
สำหรับสิ่งที่ถือว่าโดดเด่นอย่างยิ่งของวัดเชียงทองก็คือ รูปทรงของสิมที่อ่อนช้อยโค้งงาม มีหลังคาซ้อน 3 ชั้นลดหลั่นคลุมต่ำ ถือเป็นแบบฉบับของสิมแบบล้านช้าง ซึ่ง
“ ท้าวเข็มเพ็ด ชะนะพัน ” ไกด์ชาวลาว ได้บอกว่า
“ คนลาวเปรียบสิมหลังคาโค้งต่ำอย่างสิมวัดเชียงทอง หรือวัดอีกหลายวัดในหลวงพระบางเป็นสิมสุภาพสตรี ส่วนสิมทรงสูงอย่างวัดทางเวียงจันทน์หรือวัดในเมืองไทย
เป็นสิมสุภาพบุรษ ”
ฟังท้าวเข็มเพ็ดเล่าแล้ว คนลาวนี่เข้าใจเปรียบเทียบดีแท้
นอกจากรูปทรงอันอ่อนช้อยแล้ว สิมวัดเชียงทองยังดูงดงามด้วยลวดลายลงรักปิดทองหรือที่ชาวลาวเรียกว่า “ พอกคำ ” ที่มีให้ดูกันทั่วไปตั้งแต่หน้าบัน ด้านหน้า ด้านใน ด้านข้าง โดยส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาพุทธและนิทานพื้นบ้าน ส่วนด้านในสิมนั้นก็ดูขรึมขลังไปด้วยพระประธานองค์โตที่ประดิษฐานอยู่ หากใครไปเยือนวัดเชียงทองควรเข้าไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล
สำหรับเสน่ห์ภาพชวนมองอีกอย่างหนึ่งก็คือ ลายประดับ “ ดอกดวง ” หรือกระจกสีรูป
“ ต้นทอง ” ท่ามกลางสัตว์หลายชนิดที่แวดล้อมอยู่ ซึ่งหลวงพระบางในอดีตคือเมืองเชียงทองที่เต็มไปด้วยต้นทองอยู่เป็นจำนวนมาก โดย บริเวณวัดเชียงทองมีต้นทองยักษ์ขนาดหลายคนโอบอยู่ ด้วยเหตุนี้เมื่อเจ้าศรีสว่างวัฒนาทำการบูรณปฏิสังขรณ์วัดเชียงทอง จึงได้ให้ช่างทำลวดลายประดับดอกดวงเป็นรูปต้นทองไว้ที่ด้านหลังสิมเพื่อระลึกต้นทองยักษ์ในอดีต
โรงเมี้ยนโกศ งดงามด้วยลายแกะสลักควักไม้
สำหรับสิ่งน่าสนใจที่วัดเชียงทองยังไม่หมดเพียงแค่นี้ เพราะจากด้านหน้าของสิมหากมองไปทางขวามือที่ 14 นาฬิกา ก็จะเห็นโรงราชรถหรือโรงเมี้ยนโกศ ที่เป็นโรงเก็บราชรถที่เคยใช้ในการอัญเชิญพระโกศของพระเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ ซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2504
โรงเมี้ยนโกศหลังนี้ มีสิ่งที่ชวนชมทั้งภายนอกและภายใน โดยภายนอกจะงดงามวิจิตรไปด้วยลวดลายแกะสลักไม้สีเหลืองอร่ามเรืองรอง ฝีมือของ “ เพียตัน ” ( พระยาตัน ) หนึ่งในสุดยอดช่างของลาว
และหากใครไปยืนเพ่งพินิจชมรายละเอียดก็จะเห็นว่าเพียตันนั้นแกะสลักไม้ได้งดงามนัก ไม่ว่าจะเป็นรูปสีดาลุยไฟที่พลิ้วไหวทรงพลังที่บานประตู รูปทศกัณฑ์ฝันว่ากำลังเสพสังวาสกับสาวงามก่อนตายที่บานหน้าต่างบานแรก ( ด้านซ้าย ) และรูปสลักที่งดงามอีกมากมาย
ซึ่งหลายๆคนที่ได้ยลต่างก็บอกว่านอกจากเพียตันจะแกะสลักแล้วยังใช้การ “ ควัก ” ไม้ออกมาเป็นลวดลายอันวิจิตรดังที่เห็น
จากภายนอกเมื่อเข้าสู่ภายในโรงเมี้ยนโกศก็จะเห็นราชรถแกะสลักไม้สีทองเหลืองอร่ามทั้งคัน มีเศียรของพญานาค 5 เศียรยื่นออกมาจากด้านหน้าราชรถอย่างอ่อนช้อยสวยงามแต่ว่าก็แฝงความขรึมขลังอยู่ในที
วัดเชียงทอง งดงามตามวิถีพุทธ แม้ว่าวัดเชียงทองจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันสำคัญของหลวงพระบาง ที่ในแต่ละวันมีคนไปเที่ยวชมเป็นจำนวนมาก แต่ว่าวัดเชียงทองก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยวิถีแห่งพุทธศาสนาของพระเณรที่จำวัดอยู่ โดยในทุกๆเช้าเจ้าอาวาสวัดเชียงทองจะเป็นรูปแรกที่เดินนำขบวนเหล่าพระภิกษุสงฆ์ไปตักบาตรข้าวเหนียว
ส่วนในช่วงกลางวันบางมุม บางจุดของวัดเชียงทอง เราจะได้เห็นพระเณรมานั่งอ่านตำราศึกษาพระธรรม นั่งสนทนา ทำความสะอาดวัดกันเป็นปกติ ส่วนในยามเย็นเหล่าพระเณรที่วัดเชียงทองจะพากันเข้าโบสถ์เพื่อทำวัตรเย็น เช่นเดียวกับวัดอื่นๆทั่วหลวงพระบาง
ทั้งนี้หากใครเดินผ่านตามวัดต่างๆเมื่อยามเย็น ( 6 โมงเย็นขึ้นไป ) ในหลวงพระบางก็จะเห็นภาพการทำวัตรเย็นปรากฏอยู่ทั่วไปพร้อมกับเสียงสวดมนต์ที่ดังไปทั่วบริเวณ ซึ่งนอกจากการตักบาตรข้าวเหนียวยามเช้า การพร้อมเพรียงกันทำวัตรเย็นของเหล่าพระเณร นับเป็นอีกหนึ่งในสิ่งที่ช่วยยืนยันถึงวิถีอันแนบแน่นในศาสนาพุทธของคนหลวงพระบาง เมืองที่นักเดินทางหลายๆคนต่างยกให้เป็น “ ธรรมมิกสังคมนิยมแห่งสุดท้าย ”
หลวงพระบาง ตั้งอยู่ทางเหนือของสปป.ลาว อดีตเคยเป็นนครหลวงของอาณาจักรลานช้าง ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม ในปี
พ.ศ. 2538 ใช้เงินกีบเป็นหลักในการซื้อขายโดย 1 บาท ประมาณ 250 กีบ แต่สามารถใช้เงินบาทได้ คนไทยสามารถเข้าหลวงพระบางได้โดยไม่ต้องทำวีซ่า นอกจากวัดเชียงทองแล้ว หลวงพระบางยังมี วัดวิชุนราช หรือ วัดวิชุน ที่เจ้าชีวิตชุนราชโปรดฯให้สร้างวัดนี้ขึ้นมาเมื่อปีพ.ศ.1503 โดยอัญเชิญพระบางจากวัดมโนรมย์มาประดิษฐาน
วัดวิชุน ถือเป็นวัดที่มีความแปลกจากวัดอื่นๆในหลวงพระบาง ตรงที่มีพระเจดีย์พระปทุม หรือพระธาตุดอกบัวใหญ่ ที่มีลักษณะเป็นพระธาตุเจดีย์รูปโค้ง ซึ่งคนลาวเรียกกันว่า
" พระธาตุหมากโม " ตามลักษณะที่คล้ายแตงโมผ่าครึ่ง ที่พระนางพันตีนเชียง
พระอัครมเหสีโปรดฯให้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1514
ช่วงปี ค.ศ.1914 พระธาตุหมากโมได้พังทลายลงมาบางส่วน เจ้ามหาชีวิตสว่างวงศ์และชาวหลวงพระบางจึงร่วมกันบูรณะพระธาตุนี้ จากการซ่อมแซมครั้งนั้นได้พบวัตถุมีค่าจำนวนมาก อาทิ พระพุทธรูปทองคำ เงิน และทองสำริด พระพุทธรูปแกะสลักจากแก้วและอัญมณี
รวมทั้งวัตถุทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมในช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 อีกเป็นจำนวนมาก
มรดกโลก ( ประเทศเวียดนาม )
มรดกโลกที่ประเทศเวียดนามที่ได้องค์กร UNESCO ยอมรับเป็นมรดกโลกรวมทั้งมรดกโลกด้านธรรมชาติกับมรดกโลกด้านวัฒนธรรมเป็นต้น ปัจจุบันเวียดนามมีทั้งหมด 7 แห่งที่ได้องค์การ UNESCO รับรองเป็นมรดกของโลก ได้แก่แบ่งเป็นสองรูปแบบดังต่อไปนี้
2 มรดกโลกด้านธรรมชาติได้แก่
1. อ่าวฮาลองเบย์ มรดกโลกในปี ค.ศ.1994
อ่าวหะล็อง (เวียดนาม: Vịnh Hạ Long) หรือที่นิยมเรียกตามชื่อในภาษาอังกฤษว่า ฮาลองเบย์ (อังกฤษ: Halong Bay) เป็นอ่าวแห่งหนึ่งในพื้นที่ของอ่าวตังเกี๋ยทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ใกล้ชายแดนติดต่อกับประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 1,500 ตารางกิโลเมตร และมีชายฝั่งยาว 120 กิโลเมตร อยู่ห่างจากกรุงฮานอยไปทางตะวันออก 170 กิโลเมตร
ชื่อตามการออกเสียงในภาษาเวียดนามเขียนได้ว่า " Vinh Ha Long " หมายถึง
"อ่าวแห่งมังกรผู้ดำดิ่ง" ในอ่าวหะล็องมีเกาะหินปูนจำนวน 1,969 เกาะโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวทะเล บนยอดของแต่ละเกาะมีต้นไม้ขึ้นอยู่อย่างหนาแน่น หลายเกาะมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่ภายใน ถ้ำที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าวคือ ถ้ำเสาไม้ (Hang Đầu Gỗ) หรือชื่อเดิมว่า " กร็อตเดแมร์แวย์ "
(Grotte des Merveilles) ซึ่งตั้งชื่อโดยนักท่องเที่ยวชาวฝรั่งเศสที่มาเยี่ยมชมอ่าวเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภายในถ้ำประกอบไปด้วยโพรงกว้าง 3 โพรง มีหินงอกและหินย้อยขนาดใหญ่อยู่จำนวนมาก เกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบริเวณอ่าว 2 เกาะ คือ เกาะกั๊ตบ่าและเกาะต่วนเจิว ทั้งสองเกาะนี้มีคนตั้งถิ่นฐานอยู่อย่างถาวร บนเกาะมีโรงแรมและชายหาดจำนวนมากคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ส่วนเกาะขนาดเล็กอื่น ๆ บางเกาะก็มีชายหาดที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชม บางเกาะเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านชาวประมง และบางเกาะยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์หลายชนิด เช่น ไก่ป่า ละมั่ง ลิง และกิ้งก่าหลายชนิด เกาะเหล่านี้มักจะได้รับการตั้งชื่อจากรูปร่างลักษณะที่แปลกตา เช่น เกาะช้าง (Voi Islet) เกาะไก่ชน (Ga Choi Islet) เกาะหลังคา (Mai Nha Islet) เป็นต้น ตามตำนานพื้นบ้านได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตนานมาแล้ว ระหว่างที่ชาวเวียดนามกำลังต่อสู้กับกองทัพชาวจีนผู้รุกราน เทพเจ้าได้ส่งกองทัพมังกรลงมาช่วยปกป้องแผ่นดินเวียดนาม มังกรเหล่านี้ได้ดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลบริเวณที่เป็นอ่าวหะล็องในปัจจุบัน ทำให้มีอัญมณีและหยกพุ่งกระเด็นออก อัญมณีเหล่านี้กลายเป็นเกาะแก่งน้อยใหญ่กระจายอยู่ทั่วอ่าว เป็นเกราะป้องกันผู้รุกราน ทำให้ชาวเวียดนามปกป้องแผ่นดินของพวกเขาได้สำเร็จและก่อตั้งประเทศซึ่งต่อมาก็คือเวียดนามในปัจจุบัน บางตำนานสมัยใหม่ก็กล่าวไว้ว่า ปัจจุบันยังมีสัตว์ในตำนานที่ชื่อว่าTarasque อาศัยอยู่ที่ก้นอ่าว
2. อุทยานแห่งชาติ Phong Nha - Ke Bang มรดกโลกในปี ค.ศ.2003
อุทยานแห่งชาติฟ็องญา-แก๋บ่าง (เวียดนาม: Vườn Quốc gia Phong Nha-Kẻ Bàng) เป็นอุทยานแห่งชาติของประเทศเวียดนามที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2546 ตั้งอยู่ในอำเภอโบ๊จักและอำเภอมิญฮว้า จังหวัดกว๋างบิ่ญ และติดชายแดนประเทศลาว
ห่างจากกรุงฮานอยมาทางใต้ประมาณ 500 กิโลเมตร เป็นกลุ่มหินปูนมีขนาดพื้นที่
857.54 ตารางกิโลเมตร อุทยานนี้มีชื่อเสียงในความสวยงามของถ้ำที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก
และยังเป็นสถานที่ 1 ใน 2 ของโลกที่เป็นหินปูนที่มีลำธารใต้ดินขนาดใหญ่
5 มรดกโลกด้านวัฒนธรรมได้แก่
1. ระบบราชวังในเมืองเว้ มรดกโลกในปี ค.ศ.1993
เว้ (เวียดนาม: Huế เฮว้; จื๋อโนม: 化) เป็นเมืองเอกของจังหวัด เถื่อเทียน-เว้ ประเทศเวียดนาม และเคยเป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์เหงียนช่วงปี พ.ศ. 2345-2488 มีชื่อเสียงจากโบราณสถานที่มีอยู่ทั่วเมือง เมืองเว้
ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 17 เมื่อปี พ.ศ. 2536
ที่เมืองการ์ตาเฮนาประเทศโคลอมเบีย ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
2. เมืองโบราณ Hoi An มรดกโลกในปี ค.ศ.1999
ฮอยอัน หรือ โห่ยอาน (เวียดนาม: Hội An) เป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่ในเขตจังหวัดกว๋างนาม มีประชากรอาศัยอยู่ราว 80,000 คน ในอดีตเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในสมัยของอาณาจักรจามปา บริเวณนี้เคยเป็นเมืองท่าบนปากแม่น้ำทูโบน ซึ่งมีชื่อว่า ไฮโฟ โดยเป็นศูนย์กลางทางการค้าในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 มีชาวต่างชาติมาตั้งถิ่นฐานและค้าขายในเมืองนี้เป็นจำนวนมาก ทั้งชาวจีน ญี่ปุ่น ดัตช์ และอินเดีย เดิมทีเมืองนี้ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งโดยมีคลองสายหนึ่งคั่นอยู่กลางเมือง มีสะพานญี่ปุ่นทอดข้ามคลองเพื่อกั้นแบ่งเขตชุมชนของชาวญี่ปุ่นที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง ตัวสะพานสร้างโดยชาวญี่ปุ่น มีลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ในปี พ.ศ. 2542 องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าของฮอยอันให้เป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ และอาคารต่างๆภายในเมืองได้รับการอนุรักษ์ให้อยู่ในสภาพเดิมไว้ได้เป็นอย่างดี ทุกวันนี้ ฮอยอันยังคงเป็นเมืองขนาดเล็กเช่นเดิม แต่ก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ผู้มาเยือนมักมาเยี่ยมชมร้านค้าขายผลงานทางศิลปะและหัตถกรรม ริมฝั่งแม่น้ำมีอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ บาร์ และร้านอาหารเปิดเรียงรายอยู่มากมายซึ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้าใช้บริการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกที่มีอยู่มากมาย
3. ประสาท My son มรดกโลกปี ค.ศ.1999
ปราสาทหมีเซิน (เวียดนาม: Mỹ Sơn) เป็นโบราณสถานในจังหวัดกว๋างนาม ภาคกลางของประเทศเวียดนาม สร้างด้วยศิลปะจามโบราณในสมัยศตวรรษที่ 4 เพื่อใช้เป็นศาสนสถานสำหรับบูชาพระศิวะ ตามความเชื่อในศาสนาฮินดู ได้จัดให้เป็นแหล่งมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก หมี่เซินเคยเป็นนครศักดิ์สิทธิ์ที่มีความสำคัญอันดับต้นๆของอาณาจักรจามปาตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 - ศตวรรษที่ 15 ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานกว่า 900ปี ทำให้โบราณสถานแห่งนี้เป็นที่รวบรวมลักษณะทางด้านศิลปกรรมที่หลากหลาย จัดเป็นกลุ่มโบราณสถานในศาสนาฮินดูที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุดในอินโดจีน กลุ่มปราสาทหมีเซิน ตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ มีภูเขาโอบล้อม เนื้อที่ประมาณ 2 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง แต่ในช่วงสงครามเวียดนามทหารเวียดนามได้ใช้ปราสาทหมีเซินเป็นกองบัญชาการ ฝ่ายอเมริกันจึงได้นำเครื่องบินทิ้งระเบิดบริเวณนี้ โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลายทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียง 22 หลัง
4. ป้อมปราการของราชวงศ์โห่ (เวียดนาม: Thành nhà Hồ) มรดกโลกในปี ค.ศ.2011
ป้อมปราการของราชวงศ์โห่ (เวียดนาม: Thành nhà Hồ) เป็นป้อมปราการแห่งหนึ่ง
ในประเทศเวียดนาม สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์โห่ (ค.ศ. 1400-1407) ตั้งอยู่ที่ตำบลเต็ยซาย
(Tây Giai) อำเภอหวิญหลก (Vĩnh Lộc) จังหวัดทัญฮว้า ริมชายฝั่งเวียดนามเหนือตอนกลาง ปราสาทเต็ยโด (Tây Đô) มีรูปทรงเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความยาวเหนือจรดใต้เท่ากับ
870.5 เมตร ตะวันออกจรดตะวันตกเท่ากับ 883.5 เมตร มีประตูสี่ด้าน ประตูหน้าคือประตูด้านทิศใต้ มีความสูง 9.5 เมตรและกว้าง 15.17 เมตร อีกสามประตูอยู่ทางทิศเหนือ ตะวันออก
และตะวันตก ตัวปราสาทสร้างขึ้นจากก้อนหิน ซึ่งแต่ละก้อนมีขนาดประมาณ 2 m x 1 m x 0.70 m นอกเหนือจากประตูแล้วตัวปราสาทเกือบทั้งหมดได้พังทลายไปแล้ว ป้อมปราการของราชวงศ์โห่ได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโก เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554
5. ป้อมปราการหลวงทังล็อง ( Hoàng thành Thăng Long ) มรดกโลกปี ค.ศ.2010
ป้อมปราการหลวงทังล็อง (เวียดนาม: Hoàng thành Thăng Long) เป็นโบราณสถานที่สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 11 โดยราชวงศ์ลี้ แสดงอิสรภาพที่มีต่อชาวจีนของชาวไดเวียด พระราชวังนี้เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและการศาสนามากว่า 13 ศตวรรษต่อเนื่องโดยตลอด เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใด ๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
มรดกโลกทางธรรมชาติ ( ประเทศมาเลเซีย )
มรดกทางโบราณคดี หุบเขาเล็งก็อง
“ แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง ” (Archaeological Heritage of the Lenggong Valley) มรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งล่าสุดของมาเลเซียปี 2555/2012 แหล่งโบราณคดีหุบเขาเล็งกอง ตั้งอยู่ในหุบเขาเล็งกองอันเขียวชอุ่ม รวมแหล่งโบราณคดี 4 แห่งในสองกลุ่ม ซึ่งมีอายุเวลายาวเกือบสองล้านปีเข้าด้วยกัน โดยแหล่งโบราณคดีแห่งนี้ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีการบันทึกเรื่องราวของมนุษย์ยุดต้นในสถานที่เดียว ที่ยาวนานที่สุดและเก่าแก่ที่สุดนอกทวีปแอฟริกา มีลักษณะเป็นแหล่งในที่โล่งและถ้ำที่เป็นพื้นที่ผลิตเครื่องมือหิน อันเป็นหลักฐานทางเทคโนโลยีสมัยแรก จำนวนของแหล่งที่พบในพื้นที่ที่มีขอบเขตสัมพันธ์กันของพื้นที่ทั้ง 4 แห่งนี้ ทำให้สามารถคาดคะเนปรากฏการก่อตัวขึ้นของประชากรขนาดใหญ่ กึ่งเร่ร่อน กึ่งตั้งหลักปักฐานกับวัฒนธรรมที่เหลือให้เห็นอยู่ของสมัยหินเก่า หินใหม่ และยุคโลหะ
อุทยานแห่งชาติกูนุงมูลู (Gunung Mulu National Park) เป็นอุทยานที่ตั้งอยู่ในบนเกาะบอร์เนียว รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซีย ติดกับชายแดนของประเทศบรูไน เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายในด้านชีววิทยาและธรณีวิทยาเป็นอย่างมาก มีพันธุ์พืชกว่า 3,500 ชนิด และมีพันธุ์ปาล์มกว่า 109 ชนิด ในด้านธรณีวิทยาเป็นภูมิประเทศแบบ Karst หรือภูมิประเทศแบบหินปูน มีพื้นที่สูงๆ ต่ำๆ หน้าผาสูงชัน ยอดแหลม มักพบรอยแตกกว้างซึ่งกลายเป็นถ้ำในแนวดิ่งหรือแนวเฉียง ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นโพรงยาว ปากถ้ำแคบ ภายในถ้ำกว้าง ผนังและเพดานถูกปกคลุมด้วยหินงอกหินย้อยและ เกิดถ้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ในอุทยานแห่งนี้ คือ “ ถ้ำซาราวัค แซมเบอร์ ” (Sarawak chamber) ซึ่งมีความยาว 700 เมตร กว้าง 396 เมตร
และสูง 80 เมตร คำนวณพื้นที่แล้วสามารถบรรจุเครื่องบิน Boeing 747 จำนวนหลายลำ
ได้เลยทีเดียว
อุทยานแห่งชาติกุนุงมูลู ได้รับการลงทะเบียนมรดกโลก ในปี พ.ศ. 2543
อุทยานแห่งชาติกีนาบาลู หรือที่เรียกในภาษามาเลย์ว่า Taman Negara Kinabalu
เป็นอุทยานแห่งชาติแห่งแรกๆในมาเลเซีย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507 และเป็นสถานที่แห่งแรกในมาเลเซียที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากถือว่าเป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก อุทยานแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายฝั่งด้านตะวันตกของรัฐซาบาห์ บนเกาะบอร์เนียว ทางตะวันออกของมาเลเซีย
มีพื้นที่ 754 ตารางกิโลเมตร อยู่รอบๆภูเขาคินาบาลูซึ่งสูง 4,095.2 เมตร และเป็นภูเขาที่สูงที่สุดบนเกาะบอร์เนียวภายในอุทยานเป็นแหล่งที่อยู่ของพันธุ์พืชและสัตว์หลากหลายชนิด
โดยแบ่งเขตแหล่งที่อยู่ออกตามสภาพทางภูมิศาสตร์ออกได้เป็น 4 เขต ได้แก่ ป่า
lowland dipterocarp ป่าสนเขา ทุ่งหญ้าบนที่สูง และพุ่มไม้บนยอดเขา บริเวณภูเขาเป็นแหล่งที่พบกล้วยไม้และพืชกินแมลงหลายสายพันธุ์ ที่มีชื่อเสียงคือสายพันธุ์
Nepenthes rajah และยังเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ประจำถิ่นอีกมากมาย เช่น ปลิงแดงยักษ์
คินาบาลู ไส้เดือนยักษ์คินาบาลู นกเขียวก้านตองปีกสีฟ้าคินาบาลู
เมืองประวัติศาสตร์มะละกาและจอร์จทาวน์
มะละกา (อังกฤษ: Malacca; มาเลย์: Melaka) เป็นเมืองเอกของรัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย ในอดีตที่นี่เป็นเมืองท่าสำคัญที่เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออกต่อมา มะละกาได้ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกทั้งโปรตุเกส, เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษ อาคารในมะละกาจึงมีลักษณะของสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมท้องถิ่น กับเจ้าอาณานิคมนั้น ๆ ซึ่งในปัจจุบันได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 2008 มะละกาและจอร์จทาวน์ถูก ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ เนื่องจากมีภูมิสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่ไม่ซ้ำใครทั้งในตะวันออกกลางและ เอเชียตะวันออกเฉียง
มรดกโลก ( ประเทศอินโดนีเซีย )
ภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมเมืองบาหลี: ระบบชลประทานการจัดการน้ำแบบสุบัก
ภูมิทัศน์วัฒนธรรมเขตบาหลี:ระบบสุบัก (Subak) หลักการตามปรัชญาไตรหิตครณะ
(Tri Hita Karana) ก่อร่างเป็นภูมิทัศน์วัฒนธรรมของนาข้าวแบบขั้นบันได ๕ ชั้น และ
อุทกอารามทั้งหลายครอบคลุมพื้นที่ ๑๙,๕๐๐ เฮกเตอร์ วัดวาอารามต่าง ๆ เป็นจุดรวมของระบบการบริหารจัดการแจกจ่ายน้ำด้วยลำคลองและฝาย รู้จักกันในชื่อ สุบัก ที่มีอายุเก่าไปถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๙ / พุทธศตวรรษที่ ๑๓ ภูมิทัศน์ที่รวมอยู่ด้วยกันคืออารามหลวงปูระ ตามัน
อายุน (Royal Temple of Pura Taman Ayun) แห่งคริสต์ศตวรรษที่ ๑๘ / พุทธศตวรรษที่ ๒๓ ซึ่งเป็นอาคารสถาปัตยกรรมขนาดมหึมาที่สุดในรูปแบบนี้บนเกาะบาหลี ระบบสุบักสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดทางปรัชญาไตรหิตครณะ ที่นำดินแดนของผี โลกมนุษย์และธรรมชาติมาไว้ด้วยกัน หลักปรัชญานี้ถือกำเนิดจากการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างบาหลีกับอินเดียมาก
ว่า ๒,๐๐๐ ปีและ กอร์ปเป็นภูมิทัศน์ของบาหลี ระบบสุบักเพื่อปฏิบัติการเพาะปลูกอย่างเสมอภาคและเป็นกันเองแบบประชาธิปไตย นี้ทำให้ชาวบาหลีกลายเป็นผู้ปลูกข้าวที่มีผลผลิตสูงที่สุดในแถบหมู่เกาะแม้ จะท้าทายต่อการเลี้ยงดูประชากรที่หนาแน่นก็ตาม
อุทยานแห่งชาติโคโมโด (อินโดนีเซีย: Taman Nasional Komodo) เป็นอุทยานแห่งชาติในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ใกล้หมู่เกาะซุนดาน้อย ระหว่างจังหวัด East Nusa Tenggara และ West Nusa Tenggara อุทยานประกอบด้วยเกาะใหญ่ 3 เกาะ คือ
เกาะโคโมโด เกาะริงกา และเกาะปาดาร์ รวมทั้งยังมีเกาะเล็กๆอีกมากมาย ซึ่งเกาะเหล่านี้กำเนิดขึ้นจากการระเบิดของภูเขาไฟ มีพื้นที่รวมทั้งหมด 1,817 ตารางกิโลเมตร (ส่วนที่เป็นแผ่นดิน 603 ตารางกิโลเมตร) มีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 4,000 คน ก่อตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2523 เพื่ออนุรักษ์มังกรโคโมโด ภายหลังยังจัดเป็นพื้นที่สำหรับอนุรักษ์สัตว์ป่าและสัตว์ทะเลชนิดอื่นๆอีก ด้วย ใน พ.ศ. 2534 อุทยานได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก กิจกรรมดำน้ำเป็นที่นิยมในอุทยานแห่งชาติโคโมโด เนื่องจากเป็นสถานที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลสูง มีสัตว์ทะเลอาศัยอยู่หลายชนิด เช่น ฉลามวาฬ ปลาพระอาทิตย์ กระเบนราหู กระเบนนก ม้าน้ำแคระ ปลากบตัวตลก ทากเปลือย หมึกวงแหวนสีฟ้า ฟองน้ำ เพรียงหัวหอม และปะการัง ตั้งแต่ พ.ศ. 2538 ทางอุทยานได้รับการสนับสนุนจาก The Nature Conservancy (TNC) ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมจากสหรัฐอเมริกา
มีการวางแผนการจัดการอุทยานใหม่ร่วมกัน และนำไปใช้ในปี พ.ศ. 2543 เพื่อรับมือกับปัญหาการใช้ทรัพยากรทั้งทางบกและทางทะเลที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัญหาของทรัพยากรทางทะเลส่วนใหญ่เริ่มมาจากชุมชนชาวประมงและบริษัทเชิง พาณิชย์ภายนอกอุทยาน แต่อย่างไรก็ตาม การควบคุมและจำกัดการใช้ทรัพยากรจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผู้ที่อาศัยอยู่ใน บริเวณอุทยาน ซึ่งมีทางเลือกในการดำรงชีวิตน้อยนอกจากต้องรอรับสิ่งที่ทางอุทยานจัดหาให้ จึงมีแผนการวางแนวทางเลือกในการดำรงชีวิตที่เป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดการ อุทยาน แต่ชุมชนภายในอุทยานยังต้องการได้รับผลประโยชน์ตามมาตรฐานที่ตรงกับความต้อง การของพวกเขา
อุทยานแห่งชาติโคโมโดได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการ
มรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 15 เมื่อปี พ.ศ. 2534 ที่เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย
มรดกโลกโดยยูเนสโก อุทยานแห่งชาติลอเรนซ์ (Lorentz National Park) ในประเทศอินโดนีเซีย เป็นอีกหนึ่งในมรดกโลกของ UNESCO ที่อยู่ในอาเซียน โดยขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1999 อุทยานแห่งชาติลอเรนซ์ เป็นอุทยานที่มีพื้นมากถึง 2.5 ล้านเฮคเตอร์ และเป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวในโลกที่มีการเชื่อมพื้นที่ยอดเขาที่มีหิมะปก คลุม กับสิ่งแวดล้อมซึ่ง มีพื้นที่ติดกับทะเลเขตร้อนและพื้นที่ชุ่มน้ำ และที่ดูจะโดดเด่นที่สุดในเขตพื้นที่ของอุทยานก็คือ ยอดเขา Puncak Jaya หรือบางครั้งจะเรียกว่า Carstensz หรือ Carstensz Pyramid เป็นยอดเขาที่มี ความสูงถึง 4,884 เมตร ซึ่งนับว่าเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในอินโดนีเซียมาก หรือสูงที่สุดในเกาะนิวกินี และในเขตมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกด้วยโดยพื้นที่ส่วนใหญ่จะถูกล้อมรอบไปด้วยธารน้ำแข็ง และหิมะจำนวนมาก แต่เนื่องจากปัจจุบันโลกของเราได้ร้อนขึ้นไปในทุกๆที ไม่แน่ว่าในอนาคตธารน้ำ แข็งแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจจะละลายไปในไม่ช้านี้แน่นอน
จันดีปรัมบานัน (อินโดนีเซีย: Candi Prambanan) หรือ จันดีราราจงกรัง
(อินโดนีเซีย: Candi Rara Jonggrang) คือเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเขตชวากลาง ห่างจากเมืองยอกยาการ์ตาไป ทางตะวันออกประมาณ
18 กิโลเมตร ตัววัดนั้นสร้างขื้นเมื่อราวปี พ.ศ. 1390 แต่หลังจากสร้างเสร็จได้ไม่นาน
ตัววัดก็ถูกทอดทิ้งและถูกปล่อยให้ทรุดโทรมตามกาลเวลา จนเมื่อถึงปี พ.ศ. 2461
(ค.ศ. 1918) จึงได้มีการเริ่มบูรณะวัดขึ้นมา การบูรณะของสิ่งก่อสร้างหลักสิ้นสุดลงเมื่อปี
พ.ศ. 2496 (ค.ศ. 1953) ในปัจจุบัน พรัมบานันถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลกและนับได้ว่าเป็นหนึ่งในศาสนสถานในศาสนา ฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ตัววัดโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมและความใหญ่โตของปรางค์ซึ่งมีความสูงถึง 47 เมตร
ปราสาทหินพรัมบานันได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการ
มรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 15 ภายใต้ชื่อ “ กลุ่มวัดปรัมบานัน ” เมื่อปี พ.ศ. 2534 ที่เมืองคาร์เทจ ประเทศตูนิเซีย ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
– เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
– เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา
ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม
ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติวัดพรัมบานัน หรือเป็นที่รู้จักสำหรับคนท้องถิ่นว่า โรโร จองกรัง (Roro Jonggrang) ถือว่าเป็น 1 ในวัดฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยที่จะมีแท่นบูชาหลัก 3 ที่ ซึ่งอุทิศให้แก่ เทพเจ้าฮินดู 3 องค์ ได้แก่ พระพรหม พระศิวะและ พระวิษณุ
แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรัน มรดกโลก
อินโดนีเซีย : ปีที่ขึ้นทะเบียน 1996
แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรัน *
มรดกโลกโดยยูเนสโก
ประเทศ จังหวัดชวากลาง อินโดนีเซีย
ประเภท มรดกทางวัฒนธรรม
ประวัติการจดทะเบียน
จดทะเบียน 2539 (คณะกรรมการสมัยที่ 20)
แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรัน คือแหล่งขุดค้นมนุษย์ชวาที่ได้รับลงทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศอินโดนีเซีย ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936)
มรดกโลก แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรันได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุม
คณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 20 เมื่อปี พ.ศ. 2539 ที่เมืองเมรีดา ประเทศเม็กซิโก
ด้วยข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้
– เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
– เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา
ทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ แหล่งมนุษย์ยุคเริ่มแรกซังงีรัน คือแหล่งขุดค้นมนุษย์ชวา ค้นพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2479 ถือว่าเป็นแหล่งขุดค้นที่มีความสำคัญแห่งหนึ่งต่อการศึกษาวิวัฒนาการของ มนุษย์ ครื่งหนึ่งของซากฟอสซิลมนุษย์โบราณจากทั่วโลกได้รับการค้นพบที่นี่ ประกอบด้วยฟอสซิล Meganthropus palaeo และ Pithecanthropus erectus/Homo erectus ซึ่งมีชีวิตอยู่เมื่อ 1 ล้าน 5 แสนปีมาแล้วที่ตั้งแหล่งโบราณคดีขุดค้นพบตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช ๑๙๓๖-๑๙๔๑ (พุทธศักราช ๒๔๗๙-๒๔๘๖) พบฟอสซิลมนุษย์ และต่อมาก็พบฟอสซิลของ Meganthropus erectus/Homo erectus จำนวน ๕๐ ซาก โดยครึ่งหนึ่งเป็นฟอสซิล
มนุษย์ เป็นที่อยู่อาศัยมาในอดีตราว ๑ ล้านปีครึ่ง ซังงีรันเป็นสถานที่สำคัญที่ทำให้เราเข้าใจวิวัฒนาการของมนุษย์มากขึ้น
มรดกของป่าฝนเขตร้อนบนเกาะสุมาตรา คือชื่อแหล่งมรดกโลกของประเทศอินโดนีเซียที่ตั้งอยู่บนเกาะสุมาตรา ประกอบด้วยเขตอุทยานแห่งชาติ 3 แห่งได้แก่ อุทยานแห่งชาติกุนุงลูเซอร์ (Gunung Leuser) อุทยานแห่งชาติเครินซีเซบลัต (Kerinci Seblat) และอุทยานแห่งชาติบูกิตบาริซานเซลาตัน (Bukit Barisan Selatan)เป็นถิ่นที่อยู่ของพืชกว่า 10,000 สายพันธุ์ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 200 สายพันธุ์ และนก 580 สายพันธุ์ ซึ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม 15 สายพันธุ์ไม่สามารถพบได้ที่อื่น รวมทั้งลิงอุรังอุตังสุมาตรา อุทยานแห่งชาติทั้ง 3 แห่งได้ร่วมกันขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกภายใต้ชื่อ “มรดกของป่าฝนเขตร้อนบนเกาะสุมาตรา” ในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 28 เมื่อปี พ.ศ. 2547 ที่เมืองซูโจว ประเทศจีน
กลุ่มวัดบุโรพุทโธ บุโรพุทโธสร้างขึ้นโดยกษัตริย์แห่งราชวงศ์ไศเลนทร์ เป็นสถูปแบบมหายาน สันนิษฐานว่าสร้างราวคริสต์ศตวรรษที่ 7-9 หรือ พุทธศักราช 1393 ตั้งอยู่ทางภาคกลางของเกาะชวา บนที่ราบเกฑุ ทางฝั่งขวาใกล้กับแม่น้ำโปรโก ห่างจากยอกยาการ์ตา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 40 กิโลเมตร บุโรพุทโธสร้างด้วยหินภูเขาไฟประมาณ 2 ล้านตารางฟุตบนฐานสี่เหลี่ยม กว้างด้านละ 121 เมตร สูง 403 ฟุต เป็นรูปทรงแบบปิรามิด มีลานเป็นชั้นลดหลั่นกัน 8 ชั้น และใน 8 ชั้นนั้น 5 ชั้นล่างเป็นลาน 4 เหลี่ยม 3 ชั้นบนเป็นลานวงกลม และบนลานกลมชั้งสูงสุดมีพระสถูปตั้งสูงขึ้นไปอีก 31.5 เมตร เป็นมหาสถูปที่ระเบียงซ้อนกันเป็นชั้นๆลดหลั่นกันไป
มรดกโลก ( ประเทศกัมพูชา )
เมืองพระนคร หรือแองกอร์ (Angkor) คือหลักฐานสำคัญที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองของอาณาจักรเขมรในอดีต ทั้งยังสะท้อนภูมิปัญญาอันชาญฉลาดทางสถาปัตยกรรม และประติมากรรมของบรรพชนขอมโบราณ ประวัติศาสตร์ของหมู่ปราสาทเมืองพระนครได้เริ่มต้นขึ้นหลังพระเจ้าชัยวรมัน ที่ 2 (ครองราชย์ พ.ศ.1345-1378) ประกาศแยกแผ่นดินเป็นอิสระจากชวา และราชวงศ์ต่อมาได้สร้างราชธานีขึ้นที่หริหราลัย ตอนเหนือของโตนเลสาป หลังจากนั้นพระเจ้ายโศวรมัน ที่ 1 (ครองราชย์ค.ศ.1432-1453) ได้มีพระราชดำริย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่ยโสธรปุระหรือเรียกกันภายหลังว่า “ เมืองพระนคร ” ถือเป็นยุคที่สร้างปราสาทร้อยแห่ง
ในเวลาต่อมาเมื่อถึงรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ พ.ศ.1656 - ราว พ.ศ.1693) นครวัดอันยิ่งใหญ่ได้ถือกำเนิดขึ้น ภายหลังเมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขึ้นครองราชย์
(พ.ศ.1724 - 1761) โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายเมืองหลวง ไปยังนครธมและยังได้สร้างปราสาทเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น ปราสาทบายน ปราสาทตาพรม เป็นต้น
ตั้งอยู่ในเมืองพระนคร จังหวัดเสียมราฐ (เสียมเรียบ) ห่างจากกรุงพนมเปญไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 310 กิโลเมตร
ความสำคัญและลักษณะทางสถาปัตยกรรม
เมืองพระนคร เป็นกลุ่มโบราณสถานที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศกัมพูชา อุทยานโบราณสถานเมืองพระนครมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 400 ตารางกิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ป่าและปราสาทหิน ประมาณว่าในเขตอุทยานโบราณสถานมีเทวลัยและ ปราสาทหินมากกว่า 100 แห่ง โบราณสถานที่สำคัญ
เช่น นครวัดหรือปราสาทนครวัด นครธมหรือปราสาทนครธม ปราสาทบายน ปราสาทบาปวน อาณาจักรเขมรมีความเชื่อตามศาสนาฮินดู โหราศาสตร์ และการบวงสรวงพระเจ้าและเทวราชาของตน ฉะนั้นสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างของเขมรตั้งอยู่บนพื้นฐานของระบบอย่างหนึ่งโดยแนวเขตแดน แกน และตัวแปรทางสถาปัตยกรรมอื่น ๆ มีหน่วยวัดหรือขนาดโดยขึ้นอยู่กับขนาดของวัตถุและมีการแบ่งส่วนประกอบออกเป็นส่วน ๆ ตามตรรกะ โดยแต่ละส่วนจะสามารถวัดขนาดได้จากสิ่งปลูกสร้างทั้งหลัง สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้แฝงไปด้วยแนวความคิดเกี่ยวกับศาสนา การบวงสรวง ปฏิทินและจักรวาลวิทยาด้วย โบราณสถานที่สำคัญในเมืองพระนครประกอบด้วย
ปราสาทนครวัด (Angkor Wat) เป็นศาสนสถานสร้างในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 โดยเป็นศาสนสถานประจำของพระองค์ ตัวเทวสถานได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จนเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญเพียงแห่งเดียวที่เหลือรอดมาจนถึงปัจจุบัน เดิมนครวัดเป็นเทวสถานของศาสนาฮินดู ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อถวายพระวิษณุ ชื่อเดิมคือปราสาทวิษณุโลก หมายถึง “ เทวลัยของพระวิษณุ ” ก่อนจะเปลี่ยนเป็นศาสนาพุทธ นครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก มีขนาดใหญ่มากถึง 200,000 ตารางเมตร ตัวปราสาทสูง 60 เมตร ยาว 100 เมตร และกว้าง 80 เมตร มีแผนผังที่ถือว่าเป็นวิวัฒนาการขั้นสุดยอดของปราสาทขอม มีปราสาท 5 หลังตั้งอยู่บนฐานสูงตามคติของศูนย์กลางจักรวาล มีคูน้ำล้อม รอบแทนทะเลสีทันดร (มหาสมุทรบนสวรรค์) ใช้เวลาสร้างร่วม 100 ปี ด้านกำแพงชั้นนอกรอบปราสาท มีความยาว 800 เมตร มีภาพแกะสลักหินเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเรื่องราวจากวรรณคดี และรูปแกะสลักนางอัปสรหรือเทพธิดาอีกถึง 1,635 รูป เป็นภาพแกะสลักนูนต่ำ ลักษณะเทพธิดาเหล่านี้คือ เท้าติดพื้น มองไปด้านหน้า อากัปกิริยาอ่อนช้อยยวนตา เสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับแต่ละรูปแทบจะไม่ซ้ำกันเลย ปราสาทนครวัดถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง และได้กลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติโดยปรากฏในธงชาติของประเทศกัมพูชา
ปราสาทนครธม (Angkor Thom) นครธมเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายและเป็นเมืองที่เข้มแข็งที่สุดของอาณาจักรขอม มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ 9 ตารางกิโลเมตร อยู่ทางทิศเหนือของนครวัด จุดเด่นที่สุดคือทางเข้าด้านใต้ ที่มีลักษณะเป็นหน้าเทวพักตร์ 4 ด้าน
ก่อนจะเข้าสู่บริเวณนี้ จะเป็นแถวของยักษ์ (อสูร) ทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย
เรียงรายแบกพญานาคอยู่ 2 สะพาน เมื่อเข้าสู่ใจกลางนครธมเป็นปราสาทหลักของ
พระเจ้าชัยวรมันเรียกว่า “ ปราสาทบายน ”
ปราสาทบายน (Bayon) ปราสาทบายนประกอบด้วยองค์ปราสาทตั้งอยู่บนฐานซ้อนสามชั้น สมมุติให้เป็นทิพยสถานของเทพเจ้าบนยอดเขาพระสุเมร ด้วยปรางค์จัตุรมุข สลักป็นรูปพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร มี 216 หน้า รวม 54 ปรางศ์ หันพระพักตร์ออกไปทั้งสี่ทิศ เพื่อสอดส่องดูแลทุกข์สุขของเหล่าพสกนิกรให้อยู่เย็นเป็นสุข รอยยิ้มบนพระพักตร์พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรร เรียกว่า " ยิ้มแบบบายน "
การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
เมืองพระนคร ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม ภายใต้ชื่อ " พระนคร " เมื่อปี พ.ศ. 2535 หลังจากสงครามกลางเมืองในเขมรยุติแล้ว องค์การยูเนสโกได้เข้ามาช่วยบูรณะฟื้นฟูปราสาทและได้จัดตั้งโครงการอย่างกว้างขวาง เพื่อป้องกันสถานที่และบริเวณโดยรอบ เมืองพระนครได้ถูกรับเลือกเป็นมรดกโลกโดยมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมจำนวน 4 ข้อ คือ
1. เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
2. เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
3. เป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของวัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
4. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
มรดกโลก ( ประเทศฟิลิปปินส์ )
โบสถ์บาร็อกแห่งฟิลิปปินส์ ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อปี 1993 โบสถ์ทั้ง 4 หลัง ซึ่งหลังแรกสร้างโดยชาวสเปนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16 นั้นตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา ซานตามาเรีย ปาโออาย และมิอากาโอ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์คือการแสดงความเป็นบาร็อกของยุโรปโดย ช่างฝีมือชาวจีนและฟิลิปปินส์
วีกัน หรือ บีกัน (อีโลกาโน: Bigan; ตากาล็อก: Vīgân) เป็นเมืองมรดกโลกในประเทศฟิลิปปินส์ เมืองโบราณวีกันจัดเป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุด ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะลูซอน ในจังหวัดอีโลโกสซูร์ (Ilocos Sur) ทางตอนเหนือของฟิลิปปินส์ ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 1999 เป็นเมืองที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยอาณานิคมของสเปนไว้ ได้อย่างดี ผังเมืองเป็นรูปแบบเมืองการค้าของยุโรปในเอเชีย
ที่มีการผสมผสานวัฒนธรรมจีนและวัฒนธรรมยุโรปได้อย่างกลมกลืน ตัวเมืองตั้งอยู่บริเวณ
ปากแม่น้ำอาบรา (Abra) ติดกับทะเลจีนใต้ บริเวณที่เป็นเขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำ 2 สาย คือ แม่น้ำโกวันเตส (Govantes) และแม่น้ำเมสตีโซ (Mestizo) มีโบราณสถานที่เป็นโบสถ์เก่าแก่สมัยอาณานิคม เช่น มหาวิหารวีกัน (Cathedral of Vigan) เมืองวีกันมีประชากร 47,246 คน
อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โตปรินเซซา (อังกฤษ: Puerto Princesa Subterranean River National Park; ตากาล็อก: Pambansang Liwasang Ilog sa Ilalim ng Lupa ng Puerto Princesa) เป็นอุทยานแห่งชาติของประเทศฟิลิปปินส์ ได้รับการจัดตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติเมื่อปี ค.ศ. 1992 และได้รับการจัดเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในปี ค.ศ. 1999 อุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โตปรินเซซา ตั้งอยู่บริเวณเทือกเขาเซนต์พอล ทางตอนเหนือของเกาะปาลาวัน ประเทศฟิลิปปินส์ ห่างจากเมืองปวยร์โตปรินเซซา เมืองหลวงของเกาะปาลาวันทางตอนเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร ณ ที่นี้ถือเป็นแม่น้ำใต้ดินที่ มีความยาวที่สุดในโลก (ประมาณ 8.2 กิโลเมตร) ลอดผ่านถ้ำหินปูนของเทือกเขาเซนต์พอล ที่มีอายุกำเนิดมานานกว่า 20 ล้านปี ก่อนที่จะไหลลงสู่ทะเลจีนใต้ โดยในภายในถ้ำจะประกอบด้วยหินงอกหินย้อยต่าง ๆ ที่มีลักษณะเหมือนรูปร่างต่าง ๆ ตามแต่จินตนาการของผู้พบเห็น เช่น
หัวสิงโต, เห็ด, เทียนไขเล่มยักษ์ หรือพระแม่มารี ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญของการเข้าชม การเข้าชมต้องใช้วิธีการล่องเรือพายเข้าไป และใช้ไฟฉายส่อง เพราะภายในถ้ำไม่มีการติดตั้งไฟ
อย่างถาวร
นาขั้นบันไดแห่งเทือกเขาฟิลิปปินส์ตั้งอยู่ที่เกาะลูซอนตอนเหนือของ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ โดยชาวพื้นเมืองอิฟูเกา (Ifugao) ที่สร้างนาขั้นบันไดแห่งนี้มากว่า 2,000 ปี
แล้ว ด้วยเครื่องมือที่เรียบง่ายและแรงงานคน ซึ่งลูกหลานชาวนาสืบเชื้อสายมาจากชาว Ifugao ในปัจจุบันก็ยังคงยึดอาชีพทำนาเช่นเดียวกับบรรพบุรุษของพวกเขา โดยความรู้นี้ได้ถูกส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และ การแสดงออกของประเพณีอันศักดิ์สิทธิ์ และความสมดุลของสังคมที่ละเอียดอ่อน ได้ช่วยกันสร้างสรรค์ความงามของภูมิทัศน์ ซึ่งแสดงถึงความกลมกลืนระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
อุทยานแนวหินปะการังทับบาทาฮา ประเทศฟิลิบปินส์ Tubbataha Reef Philippines ubbataha Reef เป็นแนวหินที่มีชื่อเสียงสำหรับการดำน้ำลึกของฟิลิปปินส์ แนวหินเกิดขึ้นจากเกาะปะการังสองเกาะ คือ North Atoll and South Atoll ที่มีร่องน้ำลึกกว้าง 8 ก.ม อยู่คั่นระหว่างกลาง 2 เกาะ ซึ่งในเขตที่ได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติในโลกมีแค่ 150 แห่ง แต่มีแค่ 9 แห่ง ที่เป็นมรดกโลกทางทะเล และ Tubbataha นี่แหละที่เป็น 1 ใน 9 มรดกโลกทางทะเล
Comments